Wednesday, August 11, 2010

วัดโบ่ตะต่าวน์ พม่า




มุ่งหน้ามาทางตะวันออกตามถนนสแตรนด์สักหลายช่วงตึก ก็จะถึงวัด เจดีย์โบ่ตะต่าวน์ เล่ากันว่าเมื่อ 2,000 ปีก่อน มีพระสงฆ์แปดรูปอัญเชินพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ประดิษฐานไว้ ณ ที่นี่ และทางการก็เคยใช้ทหารถึง 1,000 นายเฝ้ารักษาพระเจดีย์ไว้ เจดีย์องค์ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นของที่สร้างขึ้นใหม่ เจดีย์องค์เดิมนั้นพังทลายลงจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1943 ทำให้พบสถูปทองคำย่อส่วนที่มีพระเกศธาตุกับพระบรมธาตุส่วนอื่นอีกสององค์บรรจุรวมกันอยู่ภายใน นอกจากนี้ ยังพบพระพุทธรูปทองคำ เงินและสำริดอีกราว 700 องค์กับจารึกดินเผาอีกจำนวนหนึ่ง สมบัติเหล่านี้ส่วนหนึ่งนำออกมาจัดแสดงไว้ให้คนชม แต่พระบรมธาติกับสมบัติสูงค่าถูกแยกไปเก็บรักษาไว้ต่างหากรวมถึงพระเขี้ยวแก้ว ของอาณาจักรน่านเจ้าที่พระเจ้าอลองสิทธูปรารถนาจะใคร่ได้ว้ตั้งแต่ปี 1115 แต่รัฐบาลจีนเพิ่งมอบให้กับพม่าเมื่อปี 1960 นี้ด้วย เจดีย์โบ่ตะต่าวน์เป็นเจดีย์ทรงระฆัง สูง 40 เมตร ข้างในกลวง แต่มีงานประดับกระจกสี่ที่ประณีตสวยงามมากผนังด้านในขององค์ระฆังเจาะเป็นช่องคูหาเล็กๆ สำหรับเข้าไปนั่งฝึกสมาธิ บึงน้ำด้านนอกมีแต่อาศัยอยู่หลายพันตัว อย่าลืมซื้ออาหารเลี้ยงพวกมันเพื่อสั่งสมบุญเอาไว้สำหรับในชาติหน้าด้วยก็แล้วกัน

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากหนังสือ หน้าต่างสู่โลกกว้าง พม่า หาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป เนื้อหาอัดแน่น

Read More

Wednesday, March 17, 2010

ตำนานมหาเจดีย์ชเวดากอง พม่า

ชาวพม่ามักจะเรียกมหาเจดีย์ชเวดากอง ว่า "ชเวติโ่ก่งพยา" คำว่า "พยา" ในภาษาพม่าหมายถึง "เจดีย์" และ "ชเว" แปลว่า "ทอง" สำหรับคำว่า "ติโก่ง" นั่นเดิมคือคำว่า "ตรีหะกุมพะ" ในภาษาบาลี จากนั้นเพี้ยนมาเป็น "ตริกุมพ" "ติกุ่น" และ "ติโก่ง" ที่แปลว่า "เขาสามลูก" ตามลำดับ สำหรับตำนานพระมหาเจดีย์ชเวดากอง (ชเวติโก่งพยา) เกิดขึ้นเมื่อราว 2,500 ปี ก่อนในสมัยของพระเจ้าโอกกลาปะกษัตริย์แห่งดินแดนสุวรรณภูมิผู้ครอบครองอาณาจักรตะลายังใกล้เขาสิงคุตตระในดินแดนพม่าตอนล่าง ซึ่งในขณะนั้นเจ้าชายสิทธารถโคตะมะยังทรงเป็นเียงมาณพหนุ่มน้อยทรงประทับอยู่ทางภาคเหนือของประเทศอินเดีย ในความรู้สึกของชาวพม่าทุกคนเชื่อกันว่าบนยอดเขาสิงคุตตระเป็นสถานที่สักดิ์สิทธิ์เพราะมีเครื่องอัตบริขารของอดีตพระพุทธเจ้าทั้งสามพระองค์ประดิษฐานอยู่ซึ่งกล่าวกันว่าในทุกๆ 5,000 ปี จะมีพรุพุทธเจ้าอุบัติขึ้นบนโลกมนุษย์หนึ่งพระองค์ ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าองค์ที่สามได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงเลยไปเืกือบ 5,000 ปีแล้ว และในไม่ช้าเขาลูกนี้คงจะสูญสิ้นความศักดิ์สิทธ์ เว้นแต่พระพุทธเ้จ้าที่จะอุบัติขึ้นมาใหม่เป็นองค์ต่อไปจะเสด็จมาปรากฏพระวรกายและพระราชทานสิ่งแทนพระองค์เอาไว้ให้เป็นที่สักการะบูชาของมนุษย์สืบต่อไป พระเจ้าโอกกลาปะจึงเสด็จขึ้นไปนบยอดเขาบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่เป็นเวลานานเป็นเวลาเดียวกันกับที่เจ้าชายสิทธารถกำลังทรงเจริญซึ่งสมาธิภาวนาอยู่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ ตำบลพุทธคา ซึ่งใกล้จะบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จากนั้นตำนานเล่าสืบต่อว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงปฏิหารย์เสด็จมาประกฏพระวรกายต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า โอกกลาปะและให้พรพรว่าพระประสงค์ของพระเจ้าโอกกลาปะจะสัมฤทธิ์ผลเป็นแน่แท้



หลังซึ่งทรงพระตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วทรงเสวยพระวิมุติสุขอยู่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์เ้ป็นเวลานาน 49 วัน เมื่อครอบกำหนดเวลามีพ่อค้าพี่น้องาสองคนชาวพม่ามีนามว่า ตปุสสะกับภัลลิกะได้เดินทางจากแดนไกลมาค้าขาย พ่อค้าชาวพม่าทั้งสองเกิดความเลื่อมใสพระพุทธเจ้าได้ถวายข้าวสัตตูให้พระพุทธเจ้าทรงเสวย หลังจากพระพุทธเจ้าได้ทรงเสวยเสร็จแล้วได้ทรงลูบพระเศียรได้พระเกศาจำนวนแปดเส้นติดพระหัตถ์มาทรงพระราชทานให้พ่อค้าทั้งสองคนไปและในระหว่างเดินทางกลับบ้านพ่อค้าทั้งสองคนต้องประสบปัญหายุ่งยากนานัปการนับตั้งแต่พระราชาแห่งนครอเชฏฏะทรงลอบขโมยพระเกศาธาตุไปสองเส้นและในขณะที่แล่นเรือข้ามอ่าวเบงกอลอยู่นั้นได้ปรากฏพญานาคราชตนหนึ่งผุดขึ้นมาจากท้องมหาสมุทรช่วงชิงเอาพระเกศาธาตุไปอีกสองเส้น ถึงกระนั้นก็ตามเมื่อพ่อค้าทั้งสองเดินทางกลับมาถึงบ้านเมืองแล้วพระเจ้าพระโอกกลาปะก็ทรงจัดพิธีต้อนรับมีงานเฉลิมฉลองพระเกศาธาตุอย่างมโหฬารเหล่าทวยเทพเทวดาทั้งหลายได้เสด็จลงมาร่วมงานและได้ทำการเลือเฟ้นสถานที่ที่จะสร้งพระมหาเจดีย์ขึ้นเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า

ตำนานเหล่าต่อกันมาว่าเมื่อพระเจ้าโอกกลาปะทรงเปิดกล่องที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าออกพระเกศาธาตุได้สำแดงปฏิหารย์กลับคืนมาอยุ่ในกล่องครบทั้งแปดเส้นเช่นเดิม ช่างเป็นสิ่งที่นาอัศจรรย์ใจเป็นยิ่งนักและในขณะที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรด้วยความปลื่มปิติล้นพ้นพระเกศาธาตุก็แสดงปฏิหารย์เปล่งรัศมีอันสุกใสยังความสว่างไสวไปทั่วทั้งโลกธาตุ และในช่วงพริบตานั้นคนพิการทั้งปวงก็พ้นจากความพิการ คนตาบอดก็มองเห็น คนหูหนวกก็ได้ยิน คนเป็นใบ้ก็พูดได้ โลกพลันสั่นสะเทือนเลือนลั่น พสุธากัมปนาท อสุนีบาตปาดเปรี้ยงปร้าง หมู่มวลพฤกษาพากันผลิดอกออกผลสุกปลั่งพระพิรุณที่โปรยปรายลงมายังพื้นโลกกลับกลายเป็นอัญมณีที่มีค่าร่วงหล่นลงมาเต็มพื้นดินและจากตำนานพระเกศาธาตุดังที่กล่าวเล่ามานี้ทำให้เขาสิงคุตตระกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เฉกเช่นเดียวกันกับพระมหาเจดีย์ชเวดากอง เป็นที่เคารพสักการะยิ่งกว่า เจดีย์ทั้งหลายทั้งปวง

สำหรับพระมหาเจดีย์ชเวดากององค์ปัจจุบันนี้เป็นองค์ใหม่ที่สร้างครอบองค์พระเจดีย์ชเวดากองอันเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าองค์จริงเอาไว้ ภายในยังมีสถูปเจดีย์องค์เล็กๆ ที่สร้างซ้อนกันมาเป็นชั้นๆ มีจำนวนเจ็กชั้นด้วยกันทั้งที่สร้างมาจากทอง เงิน ดีบุค ทองแดง ตะกั่ว หินอ่าน เหล็กและอิฐ จนกลายมาเป็นเจดีย์ที่เห็นกันอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้

ขอบคุณที่มา นิตยสาร คนชอบเที่ยว

Read More

Saturday, February 20, 2010

เที่ยวพระธาตุอินทร์แขวน พม่า

มหาบูชาสถาน หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของพม่า นั้น หลายตำรากล่าวตรงกันว่ามีอยู่ 5 แห่ง คือ 1. พระมหาเจดีย์ชเวดากอง แห่งกรุงย่างกุ้ง 2. พระมหาเจดีย์มุเตา หรือ ชเวมอดอร์แห่งกรุงหงสาวดี 3. พระมาหาเจดีย์ชเวซิกอง แห่งเมืองพุกาม 4. พระมหามัยมุณี ที่ กรุงอมรปุระ หรือ ชานกรุงมัณฑะเลย์ 5. พระธาตุอินทร์แขวน ที่ เมืองไจก์โถ่แห่งรัฐมอญ



ไจก์ทิโย หรือ พระธาตุอินทร์แขวน มีตำนาน คนแก่คนเฒ่าชาวมอญและพม่าเล่าขานตำนานพระธาตุอินทร์แขวนไว้ว่าเมื่อราว 2,000 ปีมาแล้วมี "พิทยาธร" หรือผู้มีวิชากายสิทธิ์คนหนึ่ง(พม่าเรียก "ซอรว์จี") เป็นสูกศิษย์ของพระฤาษีผู้มีอาคมแก่กล้าอยู่ในป่าลึกดงเร้น ต่อมาทิทยาธรได้พบรักกับนาคีผู้มีฤทธิ์แปลงตนเป็นหญิงสาวจนมีลูกด้วยกันคนหนึ่งให้ฤาษีช่วยเลี้ยงดูกระทั่้งเติบใหญ่ได้เป็นเจ้าผู้ครองเมืองนามว่า "พระเจ้าติสสะ" วันหนึ่งพระฤาษีรู้ตนว่าจะละสังขารคืนสู่ธรรมชาิติจึงตัดสินใจถวายพระเกศาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแด่พระเจ้าติสสะพระเกศานี้ได้รับแต่ครั้งพระพุทธองค์เสด็จโปรดสัตว์ถึงในถ้ำพระฤาษีโดยเอาพระเกศานั้นเก็บซ่อนไว้ในมวยผมของต้นเป็นเวลานาน ครั้นเมื่อจะถวายให้ก็มีข้อแม้ว่าพระเจ้าติสสะจักต้องหาก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายศีรษะพระฤาษีและสร้งเจดีย์ไว้บนก้อนหินเพื่อเก็บพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าเส้นนี้ถึงตรงนี้ บางตำนานว่ามีพระอินทร์มาช่วยพระเจ้าติสสะ บางตำนานว่าเป็น "นัต" หรือภูตศักดิ์สิทธิ์มาช่วยค้นหาตามพื้นมหาสมุทรจนได้ก้อนหินที่มีรูปร่างตามเงื่อนไขแล้วนำมาวางหรือแขวนไปบนหน้าผาแต่ในขณะที่กำลังสร้างพระเจดีย์อยู่นั้นพระองค์ทรงพบรักและอภิเษกสมรสกับ "ชเวนันจิน" ธิดาสาวของหน้หน้าชาวกะเหรี่ยงที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนั้นจนกระทั่้งนางตั้งครรภ์แล้วป่วยกระเสาะกระแสะซึ่งเชื่อกันว่านางป่วยเพราะไม่ได้ไหว้ผีบรรพบุรุษก่อนแต่งงาน พระเจาติสสะจึงทรงอนุญาตให้นางกลับไปไหว้บรรพบุรุษ ทว่าขณะเดินทางจากพระราชวังผ่านป่าเขาลำเนาไพรไปนั้นมี "นัต" หรือภูตตนหนึ่งแปลงเป็นเสือกระโจนมาขวางทางไว้จนพ่อและพี่ชายชเวนันจินวิ่งหนีไป ชเวนันจินตกใจกลัวมาก แต่พระครรภ์แก่จนวิ่งหนีไม่ไหวได้แต่นั่งทำสมาธิสวดมนต์ภาวนาตาจ้องมองไปยังพระเจดีย์ที่สวามีทรงสร้างด้วยศรัทธาในพระธรรมคำสอนแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนในที่สุดเสือตัวนั้นวิ่งหนีไปโ่ดยไม่ทำอันตรายนางเลย ชเวนันจินกระเสือกกระสนปีนขึ้นไปจนถึงฐาน ไจก์ทิโย ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ได้อยู่ใกล้พระธาตุอินทร์แขวนตลอดไปจากนั้นก็ทอดกายลงสิ้นลมอย่างสงบ ครั้นพระเจ้าติสสะเสด็จมาถึงศพของนางกลายเป็นหินไปเสียแล้ว นางได้กลายเป็นตำนานแห่งเทพธิดาผู้เปี่ยมด้วยเมตตาและความดีงาม ผู้คอยพิทักษ์รักษาพระธาตุอินทร์แขวนหรือ ไจก์ทิโย สมคำอธิษฐาน

คัดมาจาก ท่องแดนเจดีย์ไพร ใน พุกามประเทศ

Read More

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...