
หลังซึ่งทรงพระตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วทรงเสวยพระวิมุติสุขอยู่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์เ้ป็นเวลานาน 49 วัน เมื่อครอบกำหนดเวลามีพ่อค้าพี่น้องาสองคนชาวพม่ามีนามว่า ตปุสสะกับภัลลิกะได้เดินทางจากแดนไกลมาค้าขาย พ่อค้าชาวพม่าทั้งสองเกิดความเลื่อมใสพระพุทธเจ้าได้ถวายข้าวสัตตูให้พระพุทธเจ้าทรงเสวย หลังจากพระพุทธเจ้าได้ทรงเสวยเสร็จแล้วได้ทรงลูบพระเศียรได้พระเกศาจำนวนแปดเส้นติดพระหัตถ์มาทรงพระราชทานให้พ่อค้าทั้งสองคนไปและในระหว่างเดินทางกลับบ้านพ่อค้าทั้งสองคนต้องประสบปัญหายุ่งยากนานัปการนับตั้งแต่พระราชาแห่งนครอเชฏฏะทรงลอบขโมยพระเกศาธาตุไปสองเส้นและในขณะที่แล่นเรือข้ามอ่าวเบงกอลอยู่นั้นได้ปรากฏพญานาคราชตนหนึ่งผุดขึ้นมาจากท้องมหาสมุทรช่วงชิงเอาพระเกศาธาตุไปอีกสองเส้น ถึงกระนั้นก็ตามเมื่อพ่อค้าทั้งสองเดินทางกลับมาถึงบ้านเมืองแล้วพระเจ้าพระโอกกลาปะก็ทรงจัดพิธีต้อนรับมีงานเฉลิมฉลองพระเกศาธาตุอย่างมโหฬารเหล่าทวยเทพเทวดาทั้งหลายได้เสด็จลงมาร่วมงานและได้ทำการเลือเฟ้นสถานที่ที่จะสร้งพระมหาเจดีย์ขึ้นเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า
ตำนานเหล่าต่อกันมาว่าเมื่อพระเจ้าโอกกลาปะทรงเปิดกล่องที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าออกพระเกศาธาตุได้สำแดงปฏิหารย์กลับคืนมาอยุ่ในกล่องครบทั้งแปดเส้นเช่นเดิม ช่างเป็นสิ่งที่นาอัศจรรย์ใจเป็นยิ่งนักและในขณะที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรด้วยความปลื่มปิติล้นพ้นพระเกศาธาตุก็แสดงปฏิหารย์เปล่งรัศมีอันสุกใสยังความสว่างไสวไปทั่วทั้งโลกธาตุ และในช่วงพริบตานั้นคนพิการทั้งปวงก็พ้นจากความพิการ คนตาบอดก็มองเห็น คนหูหนวกก็ได้ยิน คนเป็นใบ้ก็พูดได้ โลกพลันสั่นสะเทือนเลือนลั่น พสุธากัมปนาท อสุนีบาตปาดเปรี้ยงปร้าง หมู่มวลพฤกษาพากันผลิดอกออกผลสุกปลั่งพระพิรุณที่โปรยปรายลงมายังพื้นโลกกลับกลายเป็นอัญมณีที่มีค่าร่วงหล่นลงมาเต็มพื้นดินและจากตำนานพระเกศาธาตุดังที่กล่าวเล่ามานี้ทำให้เขาสิงคุตตระกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เฉกเช่นเดียวกันกับพระมหาเจดีย์ชเวดากอง เป็นที่เคารพสักการะยิ่งกว่า เจดีย์ทั้งหลายทั้งปวง
สำหรับพระมหาเจดีย์ชเวดากององค์ปัจจุบันนี้เป็นองค์ใหม่ที่สร้างครอบองค์พระเจดีย์ชเวดากองอันเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าองค์จริงเอาไว้ ภายในยังมีสถูปเจดีย์องค์เล็กๆ ที่สร้างซ้อนกันมาเป็นชั้นๆ มีจำนวนเจ็กชั้นด้วยกันทั้งที่สร้างมาจากทอง เงิน ดีบุค ทองแดง ตะกั่ว หินอ่าน เหล็กและอิฐ จนกลายมาเป็นเจดีย์ที่เห็นกันอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้
ขอบคุณที่มา นิตยสาร คนชอบเที่ยว
No comments:
Post a Comment